Headlines

แบบจำลองการประยุกต์ศาสตร์การสื่อสารเชิงสืบสวนสอบสวนต่อการพิจารณาคดีปกครองไทย (3C1D Model)

โดย ดร.เสกสรรณ ประเสริฐ

แบบจำลองการประยุกต์ศาสตร์การสื่อสารเชิงสืบสวนสอบสวนต่อการพิจารณาคดีปกครองไทย (3C1D Model)

โดย ดร.เสกสรรณ ประเสริฐ


แบบจำลองการประยุกต์ศาสตร์การสื่อสารเชิงสืบสวนสอบสวนต่อการพิจารณาคดีปกครองไทย (3C1D Model)

(Applied Model of Investigative Communication Science for Thai Administrative Court Proceedings (3C1D Model))

บทนำ

ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเป็นอำนาจใหม่ของสังคม การแสวงหาความยุติธรรมไม่อาจอาศัยเพียงการตีความกฎหมายเท่านั้น
แต่ต้องอาศัย “กระบวนการสื่อสาร” เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะใน กระบวนการพิจารณาคดีปกครอง
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนต้องเผชิญกับอำนาจรัฐโดยตรง

“ศาสตร์การสื่อสารเชิงสืบสวนสอบสวน” (Investigative Communication Science)
เป็นศาสตร์ที่เน้นการสังเกต วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่หลังโครงสร้างอำนาจ
ดร.เสกสรรณ ประเสริฐ จึงได้พัฒนาแนวคิด “3C1D Model”
เพื่อเชื่อมโยงศาสตร์สื่อสารเข้ากับการพิจารณาคดีปกครองของไทย
ให้กลายเป็นระบบการคิดและการตัดสินใจเชิงนวัตกรรมสำหรับนักกฎหมายยุคใหม่


ที่มาของแนวคิด 3C1D Model

แนวคิดนี้พัฒนามาจากงานวิจัยระดับปริญญาเอกของ ผอ.เบาะแส (ดร.เสกสรรณ ประเสริฐ) ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต ในสาขาวิชานิเทศศาสตร์นวัตกรรม วิทยานิพนธ์เรื่องการพัฒนากระบวนการสื่อข่าวเชิงสืบสวน ซึ่งเป็นปริญญาเอกฉบับแรกของประเทศไทย ด้าน”นวัตกรรมการสื่อสารเชิงสืบสวน” หรือ “นวัตกรรมการสื่อสารขั้นสูง”
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างกระบวนการสื่อสารที่สามารถ “อ่านใจ วิเคราะห์พฤติกรรม และทลายข้อมูลอำพราง”
ในทุกบริบทของการใช้อำนาจรัฐ

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ได้มีการนำโมเดลนี้ไปใช้จริงในการอบรมเชิงปฏิบัติการทั่วประเทศกว่า 30 รุ่น
ทั้งในภาคราชการ ภาคสื่อ และภาคการศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโมเดล
ในการใช้ “ข้อมูล–สื่อสาร–สังคม” เพื่อสนับสนุน “กระบวนการยุติธรรม”


โครงสร้างแนวคิดของโมเดล 3C1D

โมเดล 3C1D ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 4 ส่วน ได้แก่

1. Convergence – การหลอมรวมศาสตร์

คือการบูรณาการองค์ความรู้จากหลายสาขา ได้แก่
นิติศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รัฐศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ
ให้ทำงานร่วมกันในกระบวนการวิเคราะห์คดีปกครอง
เพื่อให้เห็นทั้งมิติของ “ข้อกฎหมาย – พฤติกรรม – เจตนา – ผลกระทบ” อย่างรอบด้าน

ผลลัพธ์: นักกฎหมายเข้าใจทั้งระบบอำนาจและบริบทของการใช้อำนาจ


2. Crowdsourcing – การระดมข้อมูลจากสังคม

คือการใช้พลังของสังคม ชุมชน หรือเครือข่ายออนไลน์
เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และหลักฐานภาคสนาม
โดยเฉพาะข้อมูลที่ภาครัฐไม่เปิดเผยหรือถูกละเลยในกระบวนการพิจารณา

ผลลัพธ์: ผู้ฟ้องคดีและนักกฎหมายสามารถเข้าถึงข้อมูลจริงจากหลายมิติ
ทำให้ศาลเห็นภาพรวมของความเสียหายและการกระทำที่มิชอบของรัฐได้ชัดเจน


3. Citizen Journalism – พลเมืองนักสื่อสารยุติธรรม

คือการให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบหรือผู้มีส่วนได้เสียในสังคม
ทำหน้าที่ “นักข่าวพลเมือง” ที่รายงานข้อเท็จจริงเชิงพื้นที่
เปิดเผยข้อมูล แบ่งปันหลักฐาน และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ

ผลลัพธ์: เกิดการตรวจสอบคู่ขนานจากสังคม เพิ่มแรงกดดันเชิงบวกต่อภาครัฐและสร้างความโปร่งใสในการดำเนินคดี


4. Database Journalism (Decision) – คลังข้อมูลสู่การตัดสินใจ

คือการสร้างฐานข้อมูลที่รวบรวมหลักฐานสำคัญ เช่น
ภาพถ่ายดาวเทียม ระวางที่ดิน หนังสือราชการ คำพิพากษาเดิม หรือข้อมูล GIS
เพื่อนำมาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบก่อนเข้าสู่กระบวนการตัดสินใจทางคดี

ผลลัพธ์: การพิจารณาคดีมีพื้นฐานข้อมูลจริง (Data-Driven Justice)
และลดการตัดสินโดยอคติหรือการอ้างอำนาจอย่างไม่ถูกต้อง


ภาพรวมความสัมพันธ์ของโมเดล 3C1D

        [Convergence]

               ↓

        [Crowdsourcing]

               ↓

      [Citizen Journalism]

               ↓

       [Database Journalism]

               ↓

       → [Decision] ←

โมเดลนี้แสดงให้เห็นว่า “การตัดสินใจ (Decision)”
เป็นผลลัพธ์ของกระบวนการสื่อสารเชิงสืบสวนทั้งสามขั้นตอนก่อนหน้า
ซึ่งแต่ละขั้นตอนหลอมรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าสู่ “การพิสูจน์ความจริงเชิงระบบ”


การประยุกต์ใช้โมเดล 3C1D ในคดีปกครอง

ระยะก่อนฟ้องคดี

  • ใช้ Crowdsourcing และ Citizen Journalism เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานเชิงพื้นที่
  • ใช้ Convergence วิเคราะห์กฎหมายและข้อมูลสื่อสารที่เกี่ยวข้อง
  • จัดทำ Database สำหรับแนบในคำฟ้อง

ระยะระหว่างพิจารณา

  • ใช้ Database Journalism เพื่อแสดงหลักฐานต่อศาล
  • ประสานข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือประชาชนในพื้นที่
  • ใช้ทักษะการสื่อสารเพื่อทำให้ศาลเข้าใจภาพรวมของความเสียหาย

ระยะหลังคำพิพากษา

  • เผยแพร่บทเรียนทางคดีแก่สาธารณชน
  • ใช้ข้อมูลจากคดีเป็นฐานพัฒนานโยบายหรือข้อเสนอเชิงระบบ

ประโยชน์ของโมเดล 3C1D ต่อระบบยุติธรรมปกครอง

  1. ช่วยให้นักกฎหมายมองคดีปกครองแบบบูรณาการ
  2. ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอำนาจรัฐ
  3. เสริมความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม
  4. ส่งเสริมการใช้ข้อมูลจริงแทนการอ้างอำนาจ
  5. เป็นฐานพัฒนา “นักกฎหมายสืบสวน (Investigative Lawyer)” ในอนาคต

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

โมเดล 3C1D คือ “สะพานเชื่อมระหว่างสื่อสารกับกฎหมาย”
เป็นการยกระดับวิธีคิดของนักกฎหมายจากผู้ตีความกฎหมาย
ไปสู่ “ผู้วิเคราะห์ความจริงเชิงข้อมูล” ที่สามารถอ่านเจตนาของอำนาจรัฐได้

ในอนาคต ควรบรรจุโมเดลนี้ในหลักสูตรระดับมหาวิทยาลัยและการอบรมวิชาชีพกฎหมาย
เพื่อสร้าง “นักกฎหมายยุคใหม่” ที่ไม่เพียงรู้กฎหมาย
แต่เข้าใจ “ศาสตร์การสื่อสาร ความจริง และข้อมูล” อย่างลึกซึ้ง

3C1D Model คือศาสตร์แห่งการสื่อสารเพื่อความยุติธรรม (Communication for Justice)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *