งานวิจัยเรื่อง กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลทางสังคม (Influencer) และการบังคับใช้ในประเทศไทย
Laws related to the role of social influencers and their enforcement in Thailand

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา บทบาทของผู้มีอิทธิพลทางสังคม (Influencer) ได้กลายเป็นกลไกสำคัญที่กำหนดทิศทางการบริโภคและพฤติกรรมของสาธารณชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Facebook, YouTube, TikTok และ Instagram เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการสื่อสารและการทำการตลาด Influencer สามารถโน้มน้าวและสร้างค่านิยมใหม่ในสังคมได้อย่างกว้างขวางเกินกว่าบุคคลทั่วไป
จากรายงานการตลาดออนไลน์ พ.ศ. 2567 พบว่า มูลค่าตลาด Influencer Marketing ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องสำอาง อาหารเสริมสุขภาพ และบริการดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การขยายตัวดังกล่าวกลับนำมาซึ่งปัญหาทางกฎหมายและจริยธรรม เช่น การโฆษณาเกินจริง การปกปิดข้อเท็จจริง การแฝงโฆษณาโดยไม่เปิดเผย รวมทั้งการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาดซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง
ในต่างประเทศ ปัญหานี้ได้รับความสนใจและมีการกำหนดกฎเกณฑ์อย่างชัดเจน เช่น
สหรัฐอเมริกา: Federal Trade Commission (FTC) กำหนดให้ Influencer ต้องเปิดเผยการมีผลประโยชน์ร่วมกับผู้โฆษณาอย่างชัดเจน
สหราชอาณาจักร: Advertising Standards Authority (ASA) กำหนดเกณฑ์ควบคุมการโฆษณา Influencer โดยถือเป็นการโฆษณาเชิงพาณิชย์
ฝรั่งเศส: มีกฎหมายเฉพาะ “Loi sur l’influence commerciale” มีพระราชบัญญัติอิทธิพลทางการค้า ควบคุมพฤติกรรมของ Influencer โดยตรง
ตรงกันข้าม ในประเทศไทยแม้จะมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 และกฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 แต่กฎหมายเหล่านี้ ยังมิได้ออกแบบมาเพื่อรองรับรูปแบบการสื่อสารผ่าน Influencer โดยเฉพาะ ส่งผลให้การบังคับใช้ เกิดความล่าช้า ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการสื่อสารออนไลน์ และไม่สามารถปกป้องสิทธิของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กรณีศึกษาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เช่น การโฆษณาอาหารเสริมโดย Influencer ไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากหลงเชื่อและเกิดอันตราย การใช้เน็ตไอดอลเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า การพนันออนไลน์ แฝงโฆษณาในเนื้อหาความบันเทิง การโฆษณาเครื่องสำอางเกินจริง โดยไม่เปิดเผยว่าได้รับค่าตอบแทนจากบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจ
ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยควรมีกลไกทางกฎหมายที่ทันสมัยและเหมาะสมต่อบริบทของเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งมาตรการกำกับดูแลร่วมระหว่างภาครัฐ แพลตฟอร์ม และภาคเอกชน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค
ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาค้นคว้าหาแนวทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของผู้มีอิทธิพลทางสังคม (Influencer) และการบังคับใช้ในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการควบคุมและกำกับดูแลผู้มีอิทธิพลทางสังคม ให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภคและสังคมต่อไป
ประเด็นปัญหาการวิจัย
1. กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของ Influencer มีความเพียงพอหรือไม่ ในการคุ้มครองผู้บริโภค
2. การบังคับใช้กฎหมายไทยเกี่ยวกับ Influencer มีปัญหาและข้อจำกัดอย่างไร ในบริบทสังคมดิจิทัล
3. แนวทางกฎหมายไทยและต่างประเทศในการกำกับดูแล Influencer มีลักษณะอย่างไร
4. ประเทศไทยควรกำหนดแนวทางเชิงนโยบายหรือกฎหมายอย่างไร เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภค และการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล
กรอบแนวคิดในการวิจัย
แนวคิด ทฤษฎี
ทฤษฎีการบังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement Theory)
ทฤษฎีการตีความกฎหมาย (Interpretation Theory)
– ทฤษฎีอำเภอจิต (Subjective Theory)
– ทฤษฎีอำเภอการณ์ (Objective Theory)
ทฤษฎีการควบคุมอาชญากรรม (Crime Control Theory)
แนวคิดเรื่องความชอบธรรมและความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับอินฟลูเอนเซอร์
ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ (Attitude Change Theory)
ทฤษฎีการสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication Theory)
แนวคิดอิทธิพลทางสังคม (Social Influence)
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
กฎหมายภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง
– พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
– พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
– พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 – พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
กฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
– สหรัฐอเมริกา (Federal Trade Commission – FTC Guidelines)
FTC บังคับใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐบาลกลางเพื่อป้องกันการฉ้อโกง การหลอกลวง และ
การปฏิบัติทางธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการยังบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการ
ผูกขาดของรัฐบาลกลาง ซึ่งห้ามการควบรวมกิจการที่ขัดต่อการแข่งขัน และการปฏิบัติทางธุรกิจ
อื่นๆ ที่อาจนำไปสู่ราคาที่สูงขึ้น ตัวเลือกน้อยลง หรือนวัตกรรมที่น้อยลง ไม่ว่าจะต่อสู้กับการฉ้อโกง
ทางโทรศัพท์ การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต หรือแผนการกำหนดราคา ภารกิจของ FTC ก็คือการ
ปกป้องผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขัน FTC กำกับดูแลกฎหมายและข้อบังคับที่หลากหลาย ซึ่ง
รวมถึงพระราชบัญญัติคณะกรรมการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (Federal Trade Commission Act)
กฎการขายทางโทรศัพท์ (Telemarketing Sale Rule) พระราชบัญญัติการโจรกรรมข้อมูล
ประจำตัว (Identity Theft Act) พระราชบัญญัติการรายงานสินเชื่อที่เป็นธรรม (Fair Credit
Reporting Act) และพระราชบัญญัติเคลย์ตัน (Clayton Act) โดยรวมแล้ว คณะกรรมการมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย หรือบริหารจัดการภายใต้ กฎหมายมากกว่า 70 ฉบับ
– สหราชอาณาจักร (Advertising Standards Authority – ASA) กฎระเบียบการโฆษณาในสหราชอาณาจักร กรอบการกำกับดูแลเนื้อหาของโฆษณาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมาย และการกำกับดูแลตนเองของอุตสาหกรรมกฎหมายที่ควบคุมดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะคือ ข้อบังคับว่าด้วยการคุ้มครองผู้บริโภคจากการค้าที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2551 และข้อบังคับว่าด้วยการคุ้มครองธุรกิจจากการตลาดที่ทำให้เข้าใจผิด พ.ศ. 2551 กฎหมายนี้คุ้มครองผู้บริโภคจากการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมหรือทำให้เข้าใจผิด และห้ามการละเว้นที่ทำให้เข้าใจผิด รวมถึงกลยุทธ์การขายที่ก้าวร้าว และบังคับใช้โดยหน่วยงานการแข่งขันและการตลาด (CMA) และมาตรฐานการค้า
– ฝรั่งเศส (Loi sur l’influence commerciale, 2023) กฎหมายฉบับที่ 2023-451 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2566 มุ่งควบคุมอิทธิพลทางการค้าและปราบปรามการกระทำเกินขอบเขตของผู้มีอิทธิพลบนเครือข่ายสังคม
– เกาหลีใต้ (Korea Fair Trade Commission – KFTC) คณะกรรมาธิการการค้าที่เป็นธรรมของเกาหลีใต้
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษากฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของ Influencer
2. เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและข้อจำกัดของการบังคับใช้กฎหมายไทยในบริบทสังคมดิจิทัล
3. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบแนวทางการกำกับดูแล Influencer ของต่างประเทศ
4. เพื่อเสนอแนวทางปรับปรุงกฎหมายหรือกลไกการกำกับดูแล Influencer ในประเทศไทย
ขอบเขตการวิจัย
ด้านเนื้อหา:
ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแล Influencer ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พระราชบัญญัติอาหาร พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และพระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
ด้านเวลา: มุ่งเน้นการศึกษาในช่วงปี พ.ศ. 2560–2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้วิจัยพบว่า Influencer มีบทบาทสูงในประเทศไทย
ด้านพื้นที่: ครอบคลุมบริบทประเทศไทยเป็นหลัก โดยการเปรียบเทียบกับต่างประเทศ
นิยามศัพท์เฉพาะ
บทบาทของผู้มีอิทธิพลทางสังคม (Influencer) หมายถึง
การบังคับใช้กฎหมาย หมายถึง
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง หมายถึง
กฎหมายแต่ละประเทศ หมายถึง
วิธีวิจัยโดยสังเขป
1. เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research)
2. ใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) โดยศึกษาตำรา ข้อกฎหมาย คำพิพากษา คำวินิจฉัย แนวปฏิบัติ งานวิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
3. ศึกษาเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Law Research) ระหว่างกฎหมายไทยกับกฎหมายต่างประเทศ
4. ใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพื่อแยกประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะ
ระเบียบวิธีการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มุ่งเน้นการศึกษาและวิเคราะห์เชิงเอกสาร โดยใช้ การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และการวิจัยกฎหมายเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Law Research) เพื่อทำความเข้าใจถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของผู้มีอิทธิพลทางสังคม (Influencer) ในประเทศไทย การบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ ตลอดจนการเปรียบเทียบกับแนวทางของต่างประเทศ วิเคราะห์ปัญหาการบังคับใช้ และเปรียบเทียบกับแนวทางต่างประเทศเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย
รูปแบบการวิจัย
งานวิจัยนี้มีลักษณะเป็น การวิจัยทางกฎหมายเชิงวิเคราะห์ (Analytical Legal Research) โดยมุ่งศึกษาจาก
1. กฎหมายลายลักษณ์อักษร เช่น พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พระราชบัญญัติอาหาร พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
2. กฎหมายภาคปฏิบัติ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกา คำวินิจฉัยหน่วยงานรัฐ คำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
3. กฎหมายเปรียบเทียบโดยศึกษากฎหมายต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเกาหลีใต้
4. เอกสารวิชาการ งานวิจัย บทความ รายงานขององค์กรกำกับดูแลต่างประเทศ
แหล่งข้อมูลวิจัย
เอกสารทางกฎหมาย
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
2. พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522
3. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
4. พระราชบัญญัติธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544
5. กฎหมายและแนวทางปฏิบัติของต่างประเทศ เช่น
FTC Guidelines (สหรัฐฯ)
ASA Rules (สหราชอาณาจักร)
Loi sur l’influence commerciale (ฝรั่งเศส)
KFTC Guidelines (เกาหลีใต้)
รายงานราชการ
1. รายงานประจำปีของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
2. รายงานของสำนักงาน กสทช. เกี่ยวกับการกำกับดูแลสื่อออนไลน์
3. รายงานของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพและอาหารเสริม
บทความวิชาการและงานวิจัย
1. งานวิจัยไทยที่เกี่ยวข้องกับการตลาดผ่าน Influencer และการคุ้มครองผู้บริโภค
2. งานวิจัยต่างประเทศที่ศึกษาอิทธิพลของ Influencer ต่อผู้บริโภค เช่น
Lou & Yuan (2019)
Schouten et al. (2020)
Kapitan & Silvera (2016)
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากกฎหมาย เอกสารทางวิชาการ รายงานราชการ และบทความวิชาการล่าสุด
การวิเคราะห์ข้อมูล
ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)
1. วิเคราะห์โครงสร้างกฎหมายไทยและเปรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศ
2. วิเคราะห์รายงานราชการเพื่อระบุปัญหาในการบังคับใช้จริง
3. วิเคราะห์งานวิจัยและบทความวิชาการเพื่อสังเคราะห์องค์ความรู้
สรุปเชิงวิเคราะห์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของ Influencer และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
2. ได้ข้อวิเคราะห์ถึงข้อจำกัดของกฎหมายไทยและการบังคับใช้ที่ยังไม่เพียงพอ
3. ได้แนวทางการปรับใช้มาตรการทางกฎหมายจากต่างประเทศเพื่อพัฒนากฎหมายไทย
4. เป็นข้อมูลสำหรับผู้กำหนดนโยบายสำหรับหน่วยงานกำกับดูแล และผู้ประกอบวิชาชีพ Influencer ในการปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎหมาย
วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
งานวิจัยในประเทศ
– กิตติพงศ์ อุทัยสาง (2564) พบว่า กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคไทยยังไม่รองรับธุรกรรมดิจิทัลอย่างเพียงพอ
– พรเพ็ญ จิตต์สุขุม (2562) พบว่า กฎหมายโฆษณาไทยมักถูกบังคับใช้หลังเกิดความเสียหายแล้ว
– อรุณี จันทร์เพ็ง (2565) ศึกษากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคไทย–สหราชอาณาจักร พบว่า ไทยขาดมาตรการ disclosure ที่ชัดเจน
– พิมพ์ใจ สุขสวัสดิ (2565) พบว่าผู้บริโภคกว่าร้อยละ 70 ซื้ออาหารเสริมตามรีวิว Influencer
– ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2560 (วาสิน มีธรรม และบัณฑิต ขวาโยธา, 2560)
– ปัญหาและอุปสรรคทางกฎหมายในการบังคับใช้ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 (ชญาภา บุตรดี, 2563)
– การบริหารจัดการเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการป้องกันและปราบปราม
การกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่ภาคตะวันออกของประเทศไทย (จีรวัฒน์ ธนทัตพงศา, 2563)
– ปัญหาข่าวลวงทางการเมืองบนสื่อสังคมออนไลน์: ความท้าทายในการกํากับดูแลและการบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทย (วราภรณ์ วนาพิทักษ์ และสราวุธ ปิติยาศักดิ์, 2565)
– การบังคับใช้กฎหมายในการอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทย: ศึกษากรณีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในเขตภาคกลาง (ฟ้าใส สามารถ และพิมุข สุศีลสัมพันธ, 2565)
– การบังคับใช้กฎหมายในคดีอาญา ศึกษากรณีการใช้อำนาจในการสอบสวนและการดำเนินคดีของเจ้าพนักงาน (ศักดิ์มงคล เอื้อคณิต, 2566)
– กลไกการควบคุมทางสังคมและบทบาทของการบังคับใช้กฎหมายในบริบทสังคมสมัยใหม่: ความท้าทายและโอกาส (เกษฎา ผาทอง ธีรวุฒิ นิลเพ็ชร์ และโสรัตน์ กลับวิลา, 2567)
– ปัญหาการบังคับใชกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำดวยความรุนแรงในครอบครัว: ศึกษาพระราชบัญญัติสงเสริมการพัฒนาและคุมครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 (สุภรา สุวรรณบัตร, 2568)
– ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายของโทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล (สุขสันต์ มิสสาจันทร์ และสุระทิน ชัยทองคำ, 2568)
– การตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านการสื่อสารแบบบอกต่อบนอินเทอร์เน็ตและการรับรู้ความน่าเชื่อถือของ อินฟลูเอนเซอร์ (กุลญาดา แจ่มปัญญากุล และพรพรรณ ประจักษ์เนตร, 2564)
– ความเชื่อถือต่อการใช้สื่อโฆษณาโดยอินฟลูเอนเซอร์เสมือนของผู้บริโภค (ปรมา ยาหอม, 2565)
– ปัจจัยที่มีผลต่อความภักดีในการติดตามอินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้าประเภทอาหารของผ้บริโภคแต่ละเจเนอเรชั่น (วันทนา สิริพันธ์มณ, 2565)
– อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์บนติ๊กต็อกที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าแบบฉับพลันในกลุ่มผู้บริโภคสินค้าความงาม (จิรัชญา อมรสถิตย์พันธ์, 2565)
– อิทธิพลความน่าเชื่อถือของอินฟลูเอนเซอร์ต่อความตั้งใจซื้อในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบนแพลตฟอร์มติ๊กต็อก (จิระนันท์คำแสน, 2566)
– อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ในสื่อโซเชียลมีเดีย ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ของผู้บริโภคใน เจเนอเรชั่น แซด (ทรรศิรัษฎิ์ ทองตาล่วง, 2566)
– อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอรในสื่อโซเชียลมีเดีย TikTok ที่มีผลตอการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑเครื่องสำอางในปจจุบัน ของกลุมผูบริโภค Gen Z (สยาม เจริญอินทรพรหม อิสรี ไพเราะ และภทรพล หมวดเตี้ย, 2567)
– ความเชื่อถือต่อการใช้สื่อโฆษณาโดยอินฟลเูอนเซอร์เสมือนของผู้บริโภค (ปรมา ยาหอม, 2568)
งานวิจัยต่างประเทศ
Lou & Yuan (2019) ก็ยืนยันว่าความน่าเชื่อถือของ Influencer มีผลต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ
Campbell & Grimm (2019) ได้อธิบายว่า ประเทศที่มีแนวทางชัดเจน เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป มีการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพกว่าประเทศที่ไม่มีกฎหมายเฉพาะ
De Veirman, Cauberghe, & Hudders (2017) ได้อธิบายว่า การ disclosure ที่เข้มงวดช่วยป้องกันความเข้าใจผิดของผู้บริโภคได้จริง
Marsden (2019) ก็พบว่า กฎหมายดั้งเดิมในยุโรปไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมออนไลน์ได้ครบถ้วน ซึ่งสะท้อนปัญหาเช่นเดียวกับประเทศไทย
Sundar, S. S., & Marathe, S. S. (2010) ศึกษา “Source Credibility Theory” ในการสื่อสารออนไลน์ พบว่า ความน่าเชื่อถือของผู้ส่งสาร (Influencer) มีผลโดยตรงต่อการรับสารและการปฏิบัติตามคำแนะนำ
Kapitan, S., & Silvera, D. H. (2016) วิเคราะห์การใช้ Social Media Influencer ในการสร้าง แบรนด์และผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าการโฆษณาผ่าน Influencer เพิ่มความสัมพันธ์ทางอารมณ์และความผูกพันกับแบรนด์
Keller (2019) “Influencer Marketing and Consumer Trust” ชี้ว่า ความน่าเชื่อถือของ Influencer ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อสูงกว่าสื่อโฆษณาดั้งเดิม
Michael R. Solomon (2019) ศึกษาแนวโน้มการตลาด Influencer Marketing ในสหรัฐฯ พบว่าการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure) มีความสำคัญต่อความโปร่งใสและการสร้างความน่าเชื่อถือ
Patel, S., & Kumar, V. (2020) วิเคราะห์รูปแบบการใช้ Influencer ในการตลาดดิจิทัลในประเทศอังกฤษ พบว่าการบังคับใช้กฎหมายและแนวทางของ ASA ทำให้ Influencer ต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ทางการเงินอย่างชัดเจน
Campbell & Farrell (2020) “Disclosure in Influencer Marketing” ศึกษาพบว่า การเปิดเผย (disclosure) ช่วยลดความเข้าใจผิดของผู้บริโภค
Chen, Y., & Wang, X. (2020) วิเคราะห์ผลกระทบของ Influencer ต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่าน TikTok ในจีน พบว่าการนำเสนอเนื้อหาแบบ Personalization มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคสูง
OECD Report (2021) “Protecting Consumers in the Digital Age” ระบุว่า ประเทศต่าง ๆ ต้องปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับ Influencer
Dupont, L. (2021) ศึกษากฎหมายฝรั่งเศสเกี่ยวกับ “influence commerciale” พบว่าการควบคุมการโฆษณาเฉพาะผู้มีอิทธิพลช่วยลดการเผยแพร่ข้อมูลหลอกลวงและป้องกันอันตรายต่อผู้บริโภค









